Wednesday 10 August 2011

Where the Refashion begin

พูดถึงเรื่องการ Refashion นั้น จะว่าไปฉันก็ได้ทำมันก่อนที่จะรู้จักคำว่า Refashion จริงซะอีก มันเริ่มมากจากที่ตอนท้องลูกสาวคนแรกฉันเกิดฮึดอยากจะเย็บเสื้อให้ลูกสักตัวขึ้นมามองซ้ายมองขวาไม่รู้จะเอาผ้าที่ไหน เหลือบไปเห็นเสื้อยืดสีหวานของคุณสามีที่ไม่เห็นว่าจะใส่สักที (แน่สิก็สีมันหวานออกขนาดนี้) ก็เลยขออนุญาติเอามาทดลองเย็บเป็นเสื้อให้ลูกใส่ได้ไหม Pattern ก็เลียนแบบเสื้อที่ซื้อมาให้ลูกใส่นี่ล่ะ ทำๆมั่วๆไปเรื่อยๆ ตามสไตล์ ก็ได้ออกมาเป็นเสื้อที่น่ารักน่าใส่ตัวหนึ่ง ด้วยความขี้เกียจจะเย็บเชือกผูกใหม่ก็เลยคุ้ยๆ หาเอาจากที่มี ปรากฎว่าพอซักแล้วเชือกดันรุ่ยซะหมด เสร็จแล้วก็ขี้เกียจเลาะ ขี้เกียจเย็บใหม่อีก ก็เลยเป็นอันว่าลูกได้ใส่ไปแค่ครั้งสองครั้ง แล้วก็ต้องเก็บไป นี่ละน้าผลของความขี้เกียจ :P

เห็นชัดที่สุดก็รูปนี้ล่ะ

Monday 27 June 2011

Latest Movie



Last Night, I watched the film "The Kids are alright". I really liked it. I'd always tell myself not to be so uptight with my kids.

Sunday 26 June 2011

Proudly Presents

ฉันรู้สึกภูมิใจในผลงานชิ้นล่าสุดๆมาก เพราะรู้สึกว่าเป็นการดัดแปลงเสื้อผ้าที่คุ้มค่าไม่เหลือผ้ามากๆ แถมประโยชน์ก็สุดคุ้ม





เดรสชุดนี้ เป็นเดรสของลูกสาวคนโตเมื่อตอนอายุ 4 ขวบ ด้วยความที่ชอบลายก็เลยสั่งซื้อมาแบบไม่คิดอะไร แต่พอใส่จริงๆ แล้วลูกไม่ว่าอะไรแต่แม่ไม่ชอบเลย เพราะมันดูโป๊และสาวเกินวัยยังไม่รู้ ฉันก็เลยให้ลูกใส่ไปแค่ครั้งเดียว แล้วก็เก็บเข้ากรุตามระเบียบ จนวันหนึ่งไปค้นกองผ้าแล้วเจอกับเดรสชุดนี้เลยตั้งใจว่าจะเอามาดัดแปลงเป็นเดรสให้ลูกสาวคนเล็กวัยขวบกว่าๆ จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ทำสักที
ล่าสุดเอามาหยิบดูอีกครั้ง เกิดปิ๊งไอเดียบางอย่างก็เลยลองทำดู


ได้ออกมาเป็นกระโปรงตัวนี้ (หาผ้ายืดสีดำมาทำเป็นขอบกระโปรงไม่อย่างนั้นจะสั้นเกินไป)


และเสื้อตัวนี้ (เปลี่ยนจากคอผูกมาเป็นสายเสื้อธรรมดา)


ไม่น่าเชื่อว่าแค่ตัดแบ่งครึ่งก็แปลงเป็นกระโปรงสำหรับเด็กห้าขวบครึ่ง และเสื้อให้เด็กขวบครึ่งได้ แถมเป็นการแต่งตัวเหมือนในลักษณะที่ไม่เหมือนกันเกินไปอีกด้วย ชอบจัง ^_^

Tuesday 21 June 2011

The Most Easiest Pant Ever

    กางเกงตัวนี้เป็นกางเกง Refashion ที่มาจากการ Refashion อีกที งงมั้ยล่ะ 55 
    เริ่มจากเดิมทีฉันไปได้กระโปรงผ้าลินินมาหนึ่งตัว ซึ่งเป็นกระโปรงป้าย จากนั้นฉันก็เอามาเย็บประกบข้างธรรมดา ใส่ยางยืดเข้าไปที่เอว เจาะกระเป๋าซะหน่อยเพื่อความคล่องตัว เป็นอันเสร็จกระโปรงไว้ใส่หนึ่งตัว
    ใส่ๆ ไปก็ชักจะเริ่มเบื่อเพราะมันยาวไปนิด หนักไปหน่อยใส่ไม่สบายเลย ก็เลยไม่ค่อยได้ใส่ วันหนึ่งอยู่ดีๆ ฉันก็เกิดคิดขึ้นมาได้ว่าเอามาเย็บโค้งๆ ตรงปลายกระโปรงนิดหน่อย ก็น่าจะเปลี่ยนกระโปรงน่าเบื่อให้เป็นกางเกงทรง  Harem ได้ไม่ยาก ปกติฉันก็เย็บกางเกงทรงแบบนี้ให้ลูกๆ ใส่อยู่บ้างแล้ว แต่ของตัวเองไม่สำเร็จสักที ว่าแล้วก็ลงมือทำ ทำเสร็จภายในเวลาไม่กี่นาที เสร็จแล้วก็มานั่งภูมิใจในตัวเองที่สามารถคิดได้ และฉันยังจับกระโปรงเก่าๆ ที่เบื่อๆ แล้วหลายตัวมาดัดแปลงเป็นกางเกง Harem ทรงนี้ได้ของใหม่มาใส่ ช่วยต่อชีวิตที่ไม่มีโอกาสซื้อเสื้อผ้าได้อย่างมากมาย
    นี่แหละคือที่มาของกางเกง Refashion ที่มาจากการ Refashion คุ้มค่าใช่มั้ยล่ะ




อย่าหาว่าบ้าเลยนะ แต่เวลาที่ได้ติดยี่ห้อ (ที่อุปโลกขึ้นมาเอง) แล้วรู้สึกดียังไงก็ไม่รู้ 55

Friday 17 June 2011

I love Fashion

         ฉันเป็นคนหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับการแต่งตัว แม้จะไม่แฟชั่นจ๋า (เพราะอวบแขนใหญ่ก็เลยรู้สึกว่าตัวเองแต่งตัวเปรี้ยวมากไม่ได้) หรือเป็นผู้นำเทรนด์อะไรเทือกนั้น แต่ฉันก็อยู่ในพวกที่เชยไม่ได้ล่ะ ความสุขหนึ่งในชีวิตฉันคือการได้ดูคนแต่งตัวดีๆ หรือเปิดเว็บแฟชั่นดูไปเรื่อยเปื่อย
      แรกๆ ฉันก็แต่งตัวไม่เป็นหรอก ประกอบกับสมัยยังเป็นวัยรุ่นเงินทองก็ไม่มีจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อเสื้อผ้า accessory ทั้งหลายมาแต่งตัวได้ ก็แต่งเท่าที่มีนั่นแหละ จนเข้ามหาวิทยาลัยก็เริ่มเปิดโลกทรรศ์ในการแต่งกาย ได้มีโอกาสไปต่างประเทศบ้าง ก็เลยเริ่มรู้จักแต่งตัวขึ้นมา
           ฉันว่าจุดเปลี่ยนในการแต่งตัวของฉันคงเป็นตอนที่ฉันต้องไปใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษ ได้อยู่คนเดียว อยู่กับตัวเอง ชีวิตวันๆ ได้วางแผนเอง ดังนั้นฉันจึงใช้เวลาหมดไปกับการเดิน window shopping ตาม High Street ใน London ดูนิตยสารแฟชั่นบ้าง แต่ก็ไม่ใช่แนวสูงส่งอะไร ฉันว่าฉันชอบอะไรที่มันราคาไม่แพงและสมเหตุสมผลมากกว่า ดังนั้นพวก High Street Brands จึงเหมาะกับฉันที่สุด บางทีฉันก็ชอบที่จะไปเดินตามตลาดมือสอง หรือพวก Charity Shop ซื้อเสื้อผ้าราคาถูกๆ มาใส่ สนุกดี ฉันว่าฉันหลงรักการใส่เสื้อผ้ามือสองเลยล่ะ
         กลับมาเมืองไทย ทำงานแล้ว วันหนึ่งเพื่อนร่วมงานก็พาฉันไปเดินเล่นแถวตลาดวังหลัง ที่นั่นทำให้ฉันเกิดอารมณ์ “บ้าคลั่ง” ขึ้นมาเชียวล่ะ เพราะฉันได้ค้นพบกับตลาดเสื้อผ้ามือสองที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ (ตามความรู้สึกฉันนะ) ฉันจำได้ว่าจิตใจฉันช่วงนั้นหมกมุ่นอยู่กับตลาดวังหลังนี้มาก ไปมันอาทิตย์ละ 3-4 วัน เข้างานสายเป็นประจำ ไปทีก็ซื้อเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋าติดมือมาเป็นสิบๆ ตัว ด้วยความที่ราคามันถูกแสนถูก แบบก็ไม่เหมือนใคร (ฉันทนไม่ได้ที่จะใส่เสื้อผ้าชนกับคนอื่น) เรียกได้ว่าช่วงนั้นฉันมีเสื้อผ้าใหม่ๆ (ที่มาจากของเก่า) เปลี่ยนเป็นว่าเล่น ไม่พอฉันยังได้ชักชวนลูกกวาดเพื่อนสาวคนสนิทเข้าสู่วงการเสื้อผ้ามือสองนี้ด้วย จากคนที่ไม่เคยแต่งตัว บัดนี้ลูกกวาดของฉันกลายเป็นคนที่แต่งตัวอินเทรนด์ตลอดเวลา เจอเธอได้ตามแหล่งช้อปปิ้งต่างๆ ในกรุงเทพฯ
    ส่วนฉันชีวิตนั้นผกผันต้องย้ายมาอยู่ไกลถึงเกาะสมุย ทำให้ความสะดวกในการช้อปปิ้งนั้นลดลง ประกอบกับมีลูกวัยซน ไปกรุงเทพฯทีอย่าได้หวังจะไปเดินช้อปปิ้งเสื้อผ้าได้อย่างที่ใจต้องการ ฉันก็เลยต้องปรับตัวแต่งอะไรง่ายๆ เท่าที่พอหาได้ไป (ส่วนใหญ่ก็เสื้อผ้าในโลตัสนี่ล่ะที่พอจะช่วยชีวิตไว้ได้บ้าง) เวลาผ่านไปนานเข้าฉันก็ทำใจได้เอง....

Saturday 11 June 2011

Side Effect

ว่าด้วยเรื่องผลกระทบจากการทำ detox ครั้งล่าสุดของฉัน...หลังจากเสร็จการ Fasting แล้ว ผ่านไปได้ 4 วัน อยู่ดีๆ ฉันก็มีความรู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยและหมดแรงอย่างมาก อาการเหมือนคนเป็นไข้อ่อนเพลีย แต่ไม่ได้มีไข้เพราะอุณหภูมิในร่างกายปกติดี วันนั้นทั้งวันฉันทำอะไรไม่ได้เลย เอาแต่นอนหลับๆ ตื่นๆ อยู่ทั้งวัน
ตกกลางคืน ฉันเตรียมตัวจะอาบน้ำ ยังไม่ทันจะได้อาบแค่ล้างหน้าเท่านั้น อาการหนาวสั่นของฉันก็กำเริบขึ้นมาทันที (เป็นมาตั้งแต่คลอดลูกคนแรก มาอาการหนักเอามากๆ ก็หลังจากคลอดลูกคนที่สองนี่ล่ะ) ฉันก็เลยตัดสินใจไม่อาบน้ำรีบเช็ดตัวให้แห้ง แต่งตัวออกจากห้องน้ำแล้วก็รีบฉวยผ้าห่มมาคลุมตัวเอาไว้ รอจนหายสั่นแล้วก็รีบไปหยิบเสื้อกันหนาวมาใส่เตรียมตัวเข้านอน เข้าห้องนอนไปได้สักพักก็นอนไม่ไหวเพราะหนาวมากๆ ต้องเดินออกมาชงโอวัลตินร้อนๆ กินให้ร่างกายอบอุ่นแล้วถึงได้นอนหลับต่อไปได้
รุ่งเช้าตื่นมาฉันก็หายเป็นปลิดทิ้ง ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไรไป แต่ก็ไม่ได้คิดไปหาหมอ เพราะไม่รู้จะไปหาหมอที่ไหนน่ะ เคยไปหาหมอประจำครอบครัวแล้ว แต่คุณหมอไม่ได้คิดว่าฉันเป็นอะไร
ผ่านไปสองวัน ด้วยความบังเอิญที่ลูกค้าในรีสอร์ทได้มีโอกาสคุยเรื่อยเปื่อยกับคุณสามี คุยไปคุยมาก็วกเข้ามาที่เรื่องลูกสาวคนเล็กวัย 17 เดือนของฉันว่าเป็นเด็กที่ “ตัวเล็กมาก” เลยนะ เหมือนกับลูกสาวคนเล็กของเขา (ซึ่งบัดนี้ชีอ้วนมากกกก) สาเหตุมาจากการที่แม่ (ซึ่งก็คือตัวลูกค้า) ขาด Calcium นมที่ให้ลูกกินก็เลยมีปริมาณ Calcium ต่ำไม่เพียงพอที่จะไปสร้างความสูงให้เด็ก (OMG!!ทำไมเพิ่งจะมารู้ล่ะเนี่ย) แล้วที่แม่ขาด Calcium น่ะจะมีอาการหนาวสั่นยูรู้มั้ย? (OMG! again) แล้วในวันที่ Calcium มีปริมาณต่ำสุดๆ น่ะจะมีอาการเหมือนป่วย ไร้เรี่ยวแรงแต่ไม่มีไข้หรอกไอจะบอกให้ (OMG OMG OMG!!!) ลูกค้าท่านนั้นเล่าให้สามีฉันฟังเป็นฉากๆ ซึ่งอาการเหมือนกับที่ฉันเป็นเป๊ะๆ ลูกค้าก็เลยแนะนำให้ไปซื้อ Calcium เสริมมากินซะ แต่กินอย่างเดียวไม่ work หรอก ต้องกิน Magnesium และ Zinc ร่วมด้วย Calcium ถึงจะดูดซึมได้ดี ทันทีที่ฉันรู้ฉันก็รีบไปซื้อวิตามินทั้งสามตัวนี้มากินทันที
พอทราบข้อมูลแบบนี้แล้ว ฉันก็เลยสรุปได้เองเลยว่า การทำ Fasting ของฉันซึ่งกินแต่น้ำผลไม้นั้นทำให้ฉันไม่ได้รับ Calcium เลยเป็นเวลากว่า 10 วัน ซึ่งเป็นผลให้วันนั้นฉันถึงได้ไร้เรี่ยวแรงราวกับป่วยหนักขนาดนั้น นี่ถ้าคุณสามีไม่ได้บังเอิญคุยกับลูกค้าที่มีอาการแบบเดียวกันในวันนั้น ฉันก็คงยังไม่รู้เรื่องว่าตัวเองเป็นไรไป ซึ่งแน่นอนว่าฉันไม่เหมาะกับการทำ Fasting แบบกินแต่น้ำผลไม้อย่างเดียวเป็นเวลาหลายๆ วันแบบนี้หรอก ครั้งต่อไปฉันจึงต้องปรับวิธีมาใช้แบบไทยๆ ที่สามารถกินผักผลไม้และเห็ดได้บ้าง น่าจะเหมาะกับฉันมากกว่า

Wednesday 8 June 2011

The Verdict

โปรแกรมอดล้างพิษ 10 วันของฉันประกอบไปด้วย 2 วันแรกเป็นวันเตรียมหรือเรียกว่า Pre Cleansing มื้อแรกของวันอยู่ที่ 9 โมงเช้า สิ่งที่ต้องดื่มเข้าไปก็คือ “Liver Flush Drink” ซึ่งประกอบไปด้วย ส้ม มะนาว ขิง กระเทียม และพริกป่น -_- นำมาปั่นรวมกัน รสชาติก็ออกจะประหลาดประแล่มๆ ฉันสามารถสรุปได้ใจความว่ารสชาติมันเหมือน “น้ำจิ้มข้าวมันไก่” T_T ซึ่งฉันจะต้องดื่มในปริมาณหนึ่งแก้วโต ชวนอ้วกชะมัด ดื่มเสร็จก็ต้องนอนตะแคงขวาประมาณ 20 นาทีพร้อมกับหายใจเข้าลึกๆ เวลาหายใจออกก็ต้องส่งเสียง  ssssssssss ไปด้วย เหมือนกับเสียงงูน่ะ ทางนั้นเค้าบอกว่ามันคือเสียงสำหรับตับ (แต่ละอวัยวะจะมีเสียงต่างกัน) เครื่องดื่มนี้เป็นเครื่องดื่มที่จะช่วยทำความสะอาดตับซึ่งมีหน้าที่กรองของเสียออกจากร่างกาย ก็เลยต้องทำเสียงแบบนี้ไปด้วย ประหลาดดีแท้ ส่วนมื้อกลางวันและมื้อเย็นสิ่งที่กินได้ก็คือสลัดผักสดชามโต ราดน้ำสลัดที่ทำจากเกลือ น้ำมันมะกอก และมะนาวเท่านั้น จะว่าไปฉันว่ารสชาติผักสดๆ ราดน้ำสลัดแบบนี้ก็อร่อยใช้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ระหว่างวันถ้าหิวก็กินผลไม้ หรือน้ำผลไม้คั้นสดได้ไม่อั้น
กินเหมือนเดิมแบบนี้อยู่สองวัน วันที่สามคือวันอดที่แท้จริง วันทั้งวันกินได้แต่ Detox Drink ซึ่งก็คือน้ำที่ผสมผงวุ้นทำจากอะไรสักอย่างรสชาติแย่มากๆ กินแก้วแรกยังพอทน แต่หลังๆ ชักจะทนไม่ไหว (วันหนึ่งต้องกินทั้งหมด 5 แก้ว) กินทีไรจะอ้วกออกมาทุกที (โชคดีที่วันหลังๆ ถามเขาว่าผสมน้ำผลไม้แทนน้ำเปล่าได้มั้ย เขาบอกว่าได้ก็เลยช่วยเรื่องรสชาติได้บ้าง) สลับกับน้ำผลไม้คั้นสด และ Supplement ที่เขาแจกให้ โดยจะมีเวลากินที่แน่นอนแนบมาด้วย ส่วนมื้อเย็นจะเป็นน้ำซุปผักที่เคี่ยวจากผักหลากชนิด รสชาติดีจนไม่น่าเชื่อว่ามันคือซุปผัก กินวันแรกๆ อร่อยดีแท้ แต่วันหลังๆ ก็รู้สึกว่ารสชาติแย่แล้วล่ะ จะต้องต้องกินซ้ำๆ แบบนี้อยู่เป็นเวลา 7 วัน ตอนคิดจะทำไม่รู้สึกอะไร แต่พอได้กินจริงๆ ผ่านไปสองวันก็เริ่มอยากจะหยุดซะแล้ว เริ่มเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าความหิวที่แท้จริงมันเป็นอย่างไร (วันหลังเวลาหิวนิดๆ หน่อยๆ จะได้บอกตัวเองได้ว่าเรื่องเล็กน่า)
สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการเข้าโปรแกรม Detox ครั้งนี้คือการฝึกโยคะในตอนเช้า และการทำ Colema  (สวนล้างลำไส้ด้วยน้ำเปล่า หรือกาแฟ หรือ Apple Cider หรือ กระเทียม) เช้าและเย็นวันละสองรอบ ทำ Reiki (มันคืออะไร? ทำไปแล้วฉันยังงง) แล้วก็นวดผ่อนคลาย (โชคดีหน่อยที่สปาเป็นของฉันเอง ฉันเลยนวดไปซะหลายรอบ สบายจริงๆ)
การฝึกโยคะโดยมีครูนำทำให้ฉันรู้สึกว่าที่ตัวเองฝึกเองที่บ้านที่ผ่านมานั้นทำผิดเกือบจะหมดเลย คือทำไม่ถึงเท่าที่ควรจะทำน่ะ ส่วน Colema ตอนแรกก็รู้สึกกลัวและตื่นเต้นไปหมด แต่พอทำแล้วก็รู้สึกสบายดี ยิ่งเห็นสิ่งที่มันเกาะอยู่ในลำไส้ออกมาด้วยยิ่งสะใจว่าอย่างน้อยมันก็ได้ทำความสะอาดล่ะ อะไรที่มันสกปรกถึงได้ออกมาซะขนาดนี้ 555
ในแง่ของจิตใจและแรงกาย ฉันว่าฉันก็ไม่ได้มีความรู้สึกอ่อนระโหยโรยแรงแต่อย่างใด เพียงแต่พลังงานน้อยลง อารมณ์ที่จะคอยเดินตามลูกตัวเล็กที่กำลังบ้าเดินสำรวจโลกก็มีน้องลง ต้องปล่อยให้คนอื่นช่วยทำแทนที (จากเดิมที่ขี้เกียจจะเดินตามอยู่แล้ว ก็เลยยิ่งขี้เกียจมากขึ้น) แต่โดยรวมแล้วฉันก็ยังคงมีแรงเล่นกับลูกได้ดี เพียงแต่ต้องอยู่ในห้องพื้นที่จำกัดจะได้ไม่ต้องวิ่งไล่ตามกันให้เหนื่อยมาก ส่วนจิตใจฉันก็คิดว่าฉันสู้ และต้องทำให้ได้ หิวแค่ไหนก็ต้องทน นอนนิ่งๆ เอา คิดถึงอาหารที่จะได้กินในวันหน้า 555 สามีฉันบอกว่าให้ตัดซะก่อนที่จะคิดถึงมันจะได้ไม่ทรมาน แต่ฉันทำไม่ได้ นอนคิดถึงอาหารแล้วมีกำลังใจเดินหน้าต่อไป บางทีขอยกอาหารมาดมให้ชื่นใจก็ยังดี เหมือนคนบ้าเลย
อีกวิธีหนึ่งที่ทำให้ฉันสู้ไปได้เรื่อยๆ ก็คือการประกาศให้ชาวโลกได้รู้ เพื่อที่ตัวเองจะได้รู้สึกว่าแพ้ไม่ได้เดี๋ยวจะโดนประนาม 555  ปรากฎว่าก็ได้กำลังใจกลับมาดีพอสมควร แล้วฉันก็ผ่าน 7 วันไปได้ชนิดที่วันหลังๆ เริ่มที่จะทนไม่ไหวต้องนั่งปลอบใจตัวเองวันละหลายรอบเชียวล่ะ วันที่ทรมานที่สุดก็วันหลังๆ นี่ล่ะ เพราะเหมือนกับว่าร่างกายจะทนแบกรับความหิวไว้ไม่ไหวแล้ว ข้อดีคือมันใกล้วันที่จะเลิกแล้วก็เลยต้องทนต่อไปให้เสร็จสิ้น
วันสุดท้ายคือวันที่ 10 เป็นวันเลิกอด ต้องทำ colema ครั้งสุดท้ายในตอนเช้าแล้วจึงกินอาหารได้ ซึ่งอาหารที่ว่าก็คือมะละกอเป็นมื้อเช้า มื้อกลางวันกับเย็นเป็นผักนึ่ง หรือจะเป็นผักเอามาปั่นเหมือนอาหารเด็ก แต่ฉันทนกินผักนึ่งจืดๆ ไม่ได้หรอก ฉันก็เลยขอสร้างสรรค์นิดนึงเป็นผัดผักกับซีอิ๊วขาว แล้วก็เห็ดผัดกระเทียมพริกไทย ขออะไรที่มีรสชาตินิดนึงคงไม่ตายหรอกมั้ง (ทนไม่ไหวแล้วนิ) กินแล้วก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ฉันว่าพวกฝรั่งกลัวเกินเหตุ กลัวว่ากระเพราะจะทำงานหนักเกินไป ไม่รู้จักกระเพราะชาวไทยซะแล้วว่าแข็งแรงอดทนขนาดไหน ก็เล่นกินเผ็ดกันมาเกือบทั้งชีวิตขนาดนี้
ในที่สุดฉันก็ผ่านการอดล้างพิษ 10 วันไปได้โดยที่ผู้ดูแลชมว่าร่างกายฉันสามารถขับพิษได้ดี (จะมีการคุยกันเป็นระยะๆ เรื่องว่ามีอะไรออกมาบ้าง) แต่มันก็ไม่ได้ดีไปซะทั้งหมดหรอกนะ เพราะผ่านมาแล้วสองอาทิตย์ฉันว่าอาการภูมิแพ้ของฉันไม่หายขาดอย่างที่คิด แต่ก็น้อยลงล่ะ อาจเป็นไปได้ว่าฉันไม่ได้มีอาการภูมิแพ้จากอาหาร แต่น่าจะเป็นพวกไรฝุ่นซะมากกว่า (แย่สุดก็คงจะเป็นเกสรดอกไม้ เลี่ยงยากมาก)
ส่วนเรื่องน้ำหนัก สี่วันแรกน้ำหนักลดไป 3 กิโลกรัม ซึ่งทำให้ฉันมีความหวังว่าหมดคอร์สแล้วน้ำหนักฉันน่าจะลดสัก 6 กิโลกรัม แต่แท้จริงแล้วมันก็ไม่ได้ลดเพิ่มลงไปแต่อย่างใด แต่ทุกคนก็ลงความเห็นว่าฉันดูผอมลงไปพอสมควร (อย่างน้อยน้ำหนักฉันก็ได้แตะเลข 5 ซะทีล่ะ) ผ่านมาสองอาทิตย์น้ำหนักที่ลดก็คงที่อยู่ไม่ได้เพิ่มขึ้นมาแต่อย่างใด กินอาหารได้น้อยลง และยังคงมีโอกาสได้เข้าคลาสฝึกโยคะอย่างต่อเนื่องอาทิตย์ละ 3 วัน ^_^
โดยรวมแล้วฉันพอใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไปนะแม้อาการภูมิแพ้จะไม่หายขาด น้ำหนักที่ลดลงไม่มากเท่าที่คิดไว้ แต่สิ่งที่ฉันได้กลับมาก็คือโอกาสในการได้ฝึกโยคะอย่างจริงจังและถูกต้อง ถามว่าปีหน้าฉันจะกลับมาทำโปรแกรมนี้อีกมั้ย? คำตอบคือ “ไม่” เพราะฉันคิดว่ามันโหดเกินไปกับการต้องอดอาหารขนาดนั้น แต่ฉันจะทำอีกด้วยวิธีการแบบไทยๆ ของนพ.บรรจบแห่งบัลวีแน่นอน